เมื่อเร็วๆนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช นายอำเภอเมืองสมุทรสาคร พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เจ้าหน้าที่จากบ้านพักเด็ก และเจ้าหน้าที่เทศบาลนครสมุทรสาคร ลงพื้นที่ริมคลองเจ็กจุ่น ต.มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร หลังทราบว่ามีตายายและหลานรวม 5 ชีวิต ได้มาอาศัยปลูกเพิงพักอยู่บริเวณริมคลอง และมีชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบาก เนื่องผู้เป็นตาป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ทิ้งหน้าที่รับผิดชอบหลานอีก 3 คน ให้กับยายจันทร์เพ็ญ วัย 60 ปี ซึ่งมีรายได้วันละ 2- 3 ร้อยบาท จากการขายหมูปิ้งให้กับคนงานที่ตลาดทะเลไทย 

นอกจากปัญหาเรื่องรายได้ที่ไม่พอเลี้ยงชีพ ครอบครัวตายายยังต้องเผชิญกับความยากลำบากในการดำรงชีวิต เพราะที่ซุกหัวนอนซึ่งปลูกเป็นเพิงพักจากเศษไม้และผ้าใบเก่าๆ ไม่มีประตูหน้าต่าง เสี่ยงอันตรายจากมิจฉาชีพ และหนำซ้ำยังขาดห้องน้ำห้องสุขา ทำให้ทั้ง 5 ชีวิต ต้องขับถ่ายใส่ถุงพลาสติก เป็นที่น่าเวทนาสำหรับผู้ที่รับรู้เรื่องราว 

ยายจันทร์เพ็ญ เปิดเผยถึงเรื่องราวที่ผ่านมาว่า ตนเองและสามีได้ย้ายมาปลูกเพิงพักที่บริเวณริมคลองเจ็กจุ่นตั้งแต่ปี พ.ศ.2541 ซึ่งอาศัยการหักล้างถางป่าริมคลองเจ็กจุ่นปลูกบ้านพักอาศัย ซึ่งการย้ายมาในครั้งนั้นเป็นการย้ายมาเพื่อให้ให้ใกล้กับล้งกุ้งที่ต้องมาทำงานแกะกุ้ง โดยในช่วงระยะเวลาที่ตนเองทำงานแกะกุ้งอยู่นั้น ลูกสาวได้ทยอยนำหลานมาให้เลี้ยงถึง 3 คน โดยคนโตเป็นเด็กผู้หญิงอายุ 15 ปี ส่วนอีก 2 คน เป็นเด็กผู้ชาย อายุ 8 ปี และ 7 ปี และหลังจากที่ประเทศไทยประสบวิกฤติเรื่องการส่งออกกุ้งไปขายยังต่างประเทศ ทำให้ล้งกุ้งได้ปิดตัวลง ตนเองจึงต้องตกงาน ต่อมาสามีซึ่งมีอาชีพขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง เกิดล้มป่วยด้วยอาการป่วยเส้นเลือดในสมองตีบ ส่งผลให้เป็นอัมพฤกษ์ไม่สามารถประกอบอาชีพได้เหมือนเดิม 

ทั้งนี้หลังจากต้องออกจากงานแกะกุ้ง ครอบครัวของยายจันทร์เพ็ญยังคงอาศัยอยู่ในบ้านพักที่ริมคลองเจ็กจุ่นซึ่งเป็นที่สาธารณะ กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ได้มีการสร้างเขื่อนป้องกันตลอดแนวริมคลองเจ็กจุ่น ส่งผลให้ครอบครัวยายจันทร์เพ็ญ ที่อาศัยปลูกบ้านริมตลิ่ง ต้องขยับเข้ามาปลูกเพิงพักในที่ดินของเอกชนรายหนึ่ง โดยเจ้าของที่ดินได้มีการเจรจากับยายจันทร์เพ็ญ ให้เร่งย้ายออกจากพื้นที่ เนื่องจากมีการขายที่ดินเปลี่ยนมือให้กับเจ้าของรายอื่น ซึ่งยื่นคำขาดให้ย้ายออกหลังจากการก่อสร้างเขื่อนบริเวณที่ครอบครัวยายจันทร์เพ็ญปลูกเพิงพักอาศัยเสร็จเรียบร้อย 

ภายหลังคณะของนายอำเภอเมืองสมุทรสาคร ลงไปตรวจสอบข้อมูล เพื่อให้การช่วยเหลือครอบครัวยายจันทร์เพ็ญ ได้เปิดเผยว่า เบื้องต้นมีการเจรจากับครอบครัวยายจันทร์เพ็ญ ในการย้ายไปหาที่อยู่แห่งใหม่ ที่มีความเป็นอยู่ด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดีขึ้น รวมทั้งต้องสอดคล้องกับการดำรงชีวิตของครอบครัวยายจันทร์เพ็ญ ที่ต้องการอยู่ไม่ไกลจากจุดเดิม เนื่องจากหลานทั้ง 3 คน ต้องเรียนหนังสือที่โรงเรียนเทศบาลบ้านมหาชัย (อนุกูลราษฎร์) และใกล้กับโรงพยาบาลสมุทรสาคร เพื่อความสะดวกในการพาตาที่เป็นอัมพฤกษ์ไปรักษาตัวตามนัดของแพทย์ 

ทั้งนี้เรื่องการหาที่อยู่แห่งใหม่ให้กับครอบครัวยายจันทร์เพ็ญ ประธานชุมชนในพื้นที่รับชอบของเทศบาลนครสมุทรสาคร พร้อมด้วยนายอำเภอเมืองสมุทรสาคร และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องได้พายายจันทร์เพ็ญและหลานสาวตนโต ไปดูห้องเช่าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่เป็นเพิงพักเดิม ประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นห้องแถวชั้นเดียวขนาดใหญ่พอสมควร และยังมีพื้นที่ด้านหน้าห้องและด้านหลังห้องกว้างขวาง สร้างความพอใจให้กับยายจันทร์เพ็ญและหลานสาว ซึ่งได้รับปากว่าจะรีบเก็บของจากเพิงพักเพื่อย้ายมาอยู่ที่ใหม่โดยเร็ว สำหรับการช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตครอบครัวยายจันทร์เพ็ญ หลายหน่วยงานได้ให้ความช่วยเหลือมาก่อนหน้านี้แล้ว เช่น พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสมุทรสาคร เทศบาลนครสมุทรสาคร เป็นต้น 

โดยล่าสุด บ้านพักเด็กและครอบครัวสมุทรสาคร ได้เปิดเผยว่า กรณีของครอบครัวยายจันทร์เพ็ญ เข้าเงื่อนไขการช่วยเหลือค่าอุปการะหลานทั้ง 3 คน โดยทางหน่วยงานราชการสามารถช่วยเหลือเงินค่าเลี้ยงดูหลานได้คนละ 1,000 บาท รวมแล้ว 3,000 บาท ต่อเดือน ซึ่งเงินจำนวนนี้สามารถนำมาช่วยเหลือครอบครัวยายจันทร์เพ็ญ โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ได้เป็นอย่างดี 

ยายจันทร์เพ็ญ กล่าวถึงความรู้สึกว่า ตนเองรู้สึกชอบและดีใจมาก ห้องเช่าที่นี่มีขนาดกว้างขวาง หลังจากนี้หากมีคนช่วยเก็บของย้ายของก็จะเข้ามาอยู่ห้องเช่าใ้ห้เร็วที่สุด และขอบคุณทุกหน่วยงาน ทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือในครั้งนี้